Monday 10 January 2011

คนที่น่าเอาอย่าง

อยากให้อ่าน เพราะดีมากๆ

ข้อคิดดี ๆ จากชายที่จากไป
แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป
โดย พิษณุ นิลกลัด

 


สัปดาห์ สุดท้ายของปี 2548
ผมไป งานสวดและงานเผาศพผู้ชายวัย 81 ปีที่ผมรู้จักเขา มา
ยาว นาน 30 ปี ไม่ใช่ญาติ แต่ สนิทกันรักใคร่เสมือนญาติ

ก่อน เสียชีวิตไม่กี่วันเขาสั่งลูกและภรรยาแบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่า
สวด 3 วันแล้วเผา
ไม่ ต้องบอกใครให้วุ่นวาย
อย่า เศร้า
อย่า ร้องไห้
ทุกคน ต้องมีวันนี้
เพียง แต่เขาอยู่หัวแถวเลยต้องไปก่อน
แล้ว ลูกเมียก็ทำตามคำสั่ง
สวด 3 วันเผา
งาน สวด 3 คืนมีคนฟังพระสวดคืนละ 14 คน
คือเมีย ลูก หลาน เขย สะใภ้ และผม ซึ่งเป็นคนนอก

เป็น งานศพที่มีคนไปร่วมงานน้อยที่สุดเท่าที่ผมเคยไปฟังสวด

วันเผามีเพิ่มเป็น 17 คน
สามคน ที่เพิ่มเป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วยเกือบทุกเย็น
คน หนึ่งเป็นแม่ค้าล็อตเตอรี่ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย
เลย เอาล็อตเตอรี่ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงินงวดละสองใบคนหนึ่ง
และคนสุดท้ายเป็นหญิงที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโตทุกมื้อเย็น
ทั้ง สามคนบอกว่าเกือบมาไม่ทันเผา
เคราะห์ ดีที่แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล
เจ้าหน้าที่บอกว่าเสียชีวิตไปแล้ว 3 วัน

หลังฌาปนกิจพระกระซิบถามเจ้าหน้าที่วัดว่าเจ้าของงานจ่ายเงินค่าศาลาสวดพระ อภิธรรมแล้วหรือยัง
พระท่านคงไม่เคยเห็นงานศพที่มีคนน้อยแบบที่ผมก็รู้สึกตั้งแต่สวดคืนแรก

จริงๆ แล้วผู้ตายเป็นคนค่อนข้างมีสตังค์
ทำงาน ธนาคารแห่งประเทศไทยจนเกษียณอายุที่ ตำแหน่ง หัวหน้าหน่วย
แต่ ด้วยความที่รักและศรัทธา อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ 



อดีต ผู้ว่าการแบงค์ชาติ
จึง ดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือนร้อน - แม้กระทั่งวันตาย

ผมสนิทกับเขาเพราะเขามีความฝันในวัยเด็กอยากเป็นนักประพันธ์แบบไม้เมืองเดิม
ที่ เขาเคยนั่งเหลาดินสอและวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้
เมื่อ ตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้ พอมาเจอะผมที่เป็น นักข่าวก็เลยถูกชะตาและให้ความเมตตา
การมีโอกาสได้พูดได้คุยกับเขาตามวาระโอกาสตลอด 30 ปี
ทำให้ได้แง่คิดดีๆมา ใช้ในการดำรงชีวิต

วันหนึ่งเขารู้ว่าขโมยยกชุดกอล์ฟของผมไปสองชุดราคา 4 แสนกว่าบาท
เขาปลอบใจผมว่า ของที่หายเป็นของฟุ่มเฟือยของเรา
แต่มันอาจเป็นของจำเป็นสำหรับลูกเมียครอบครัวเขา
คิดซะว่าได้ทำบุญ จะได้ไม่ทุกข์


เขามี วิธีคิด ' เท่ๆ '
แบบผม คิดไม่ได้มากมาย
เป็น ต้นว่า
สุขและทุกข์อยู่รอบตัวเรา
อยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเลือกคว้าอะไร

คงเป็นเพราะเขาเลือกคว้าแต่ความสุข
ช่วงปีสุดท้ายของชีวิตเขาต่อสู้กับโรคชรา
เบา หวาน หัวใจ ความดัน เกาต์
และไต ทำงานเพียง 5 เปอร์เซ็นต์โดยไม่ปริปากบ่น
แถม ยังสามารถให้ลูกชายขับรถพาเที่ยวในวัน หยุดสุดสัปดาห์
โดยที่ตัวเองต้อง หิ้วถุง ปัสสาวะ ไป ด้วยตลอดเวลา
เนื่อง จากไตไม่ทำงาน ปัสสาวะเองไม่ได้
6 เดือน สุดท้ายของชีวิตต้องนอนโรงพยาบาลสามวันนอนบ้านสี่วันสลับกันไป
เวลา ลูกหลาน หรือเพื่อนของลูกรวมทั้ง ผมด้วยไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล
เขามี แรงพูดติดต่อกันไม่เกิน 10 นาที
แต่ 10 นาที ที่พูด มีแต่เรื่องสนุกสนาน
เรียก รอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนไป เยี่ยม ไข้
ทุกคน พูดตรงกันว่า
' คุณตาไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย
ตลกเหมือนเดิม '

พอ แขกกลับ ลูก หลานถามว่าทำไมคุยแต่เรื่องตลก เขาตอบว่า

' ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย
วันหลังใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก '


เขาเป็นคนชอบคุยกับผู้คนไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้หรืออยู่บนรถแท็กซี่
บ่อยครั้งที่นั่งรถถึงหน้าบ้านแล้ว
แต่สั่งให้โชเฟอร์ขับวนรอบหมู่บ้านเพราะยังคุย
ไม่จบเรื่อง แล้วจ่ายเงินตามมิเตอร์ !

4 เดือน สุดท้ายของชีวิตแพทย์ที่รักษาโรคไตมาตั้งแต่สมัย เป็นแพทย์อินเทิร์น
จนกระทั่งเป็นหัวหน้าแผนกแนะนำให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลให้แข็งแรงแล้วค่อย กลับบ้าน

แต่ อยู่ได้ 4 วันเขาวิงวอนหมอว่าขอกลับบ้าน
หมอ ซึ่งรักษากันมา 16 ปีไม่ยอม
เขา พูดกับหมอด้วยความสุภาพว่า
' ขอให้ผมกลับบ้าน เถอะ
ผมอยากฟังเสียงนกร้อง'

คุณ หมอไม่รู้หรอกว่าคนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไร
เพราะ พอเสร็จงานหมอก็กลับบ้าน '
หมอ ได้ฟังแล้วหมดทางสู้
ยอม ให้คนไข้กลับบ้าน
แต่ กำชับให้มาตรวจตรงตามเวลานัดทุกครั้ง

1 เดือน ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
เขา สูญเสียการควบคุมอวัยวะของร่างกายเกือบทั้งหมด
เคลื่อน ไหวได้อย่างเดียวคือกะพริบตา
แต่ แพทย์บอกว่าสมองของเขายังดีมาก
เวลา ลูก เมียพูดคุยด้วยต้องบอกว่า
' ถ้าได้ยินพ่อกะพริบตาสองที '

เขา กะพริบตาสองทีทุกครั้ง !
เห็น แล้วทั้งดีใจและใจหาย

เขา ยังรับรู้
แต่ พูดไม่ได้
นี่ กระมังที่เรียกว่าถูกขังในร่างของตนเอง

สิบ วันก่อนพลัดพราก
ภรรยา กระซิบข้างหูว่า
' พ่อสู้นะ '

เขา ไม่กะพริบตาซะแล้ว
ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้สองเดือนเคยตอบว่า ' สู้ '

เขา สู้กับสารพัดโรคด้วยความเข้าใจโรค
สู้ ชนิดที่หมอออกปากว่า
' คุณลุงแกสู้จริงๆ '


ตอน ที่วางดอกไม้จันทน์
ผมนึก ถึงประโยคที่แกพูดกับลูกเมื่อสี่เดือนก่อนว่า

' โรค ภัยมันเอาร่างกายของพ่อไปแล้ว
อย่าให้มันเอาใจของเราไปด้วย '

' แง่คิดดีๆ จากชายชราที่จากไป '
สอน ให้เรารู้ว่า...

เราเกิดมาพร้อมกับจิตใจบริสุทธิ์
และมันสมองมหัศจรรย์
ที่จะสามารถเรียนรู้
แยกแยะเรื่องดีๆและสิ่งร้ายๆในชีวิต
จงใช้โอกาสดีๆที่ร่างกายและจิตใจของเรา
ยังทำอะไรๆได้อย่างที่สมองสั่ง

จงเรียนรู้
และสร้างประโยชน์สุข
ให้กับตนเองและผู้อื่นอย่างพอเพียง
และดำรงชีวิตอย่างพอเพียงทางเศรษฐกิจ!

หากทุกๆครั้งที่เรียนรู้ เราล้ม
เราพลาดอาจจะรู้สึกท้อบ้างในบางที
แม้ไม่มีกำลังกายที่จะลุกในทันที..แต่ข้อให้มีกำลังใจที่จะสู้ ต่อไป
ถ้าเราเรียนรู้...ก็จะทำให้เราพบว่า

การล้มหรือพลาดครั้งต่อไป
เราจะไม่เจ็บเท่าเดิม 


ความดีก็เหมือนกางเกงใน ต้องมีติดตัวไว้แต่ไม่ต้องเอามาโชว์ 
 

Monday 4 October 2010

วันเวลาดีๆ จะมีอีกมั้ย?







คิดถึงทุกๆคน อยากไปเที้ยวด้วยกันอีก....

Starting off!

หวัดดีทุกๆคน นี้เป็นครั้งแรกที่ทำblogนะคับ อยากลองทำดูบ้าง >,< เหตุผลง่ายๆ เพราะว่า ตั้งแต่มาอยู่ที่ไต้หวัน เห็นคนที่นี้มีblogเป็นของตัวเองทุกคน ผมก็เลยอยากลองดูบ้าง เพราะคิดว่า มันคงเป็นอีกหนึ่งทางในการรับรู้หรือบอกเรื่องราวของตัวเองให้คนอื่นได้รู้ :)

Admin: EterNaL131